10. พ.ศ. 2369 กวาดต้อน "ลาว" มาอยู่พนมสารคาม
บริเวณพนมสารคามที่เป็นป่าดงเริ่มมีชุมชนบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 3 ยกทัพไปตีเวียงจัน (ลาว) ได้เมื่อ พ.ศ. 2369 แล้วให้กวาดต้อนลาวพวนกับลาวเวียงจันมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณ ป่าดงทางตะวันออกของกรุงเทพฯ ตั้งแต่นครนายก ปราจีนบุรี จนถึงฉะเชิงเทรา คือบริเวณลำน้ำท่าลาดที่ต่อไปจะได้ชื่อ พนมสารคาม มีลาวอีกกลุ่มหนึ่งไปตั้งบ้านเรือนอยู่พนัสนิคม (ชลบุรี)
ศึกเจ้าอนุวงศ์ เวียงจัน
คนลาวชาวอีสานสองฝั่งโขง ต้องเดือดร้อนวุ่นวายครั้งสำคัญในแผ่นดินรัชกาลที่ 3 เมื่อเกิดศึกเจ้าอนุวงศ์ เวียงจัน
กรณีเจ้าอนุวงศ์
เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันเป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่ 1 กับรัชกาลที่ 2 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า เมื่อในรัชกาลที่ 2 นั้น เจ้าอนุแสดงความสวามิภักดิ์ต่อราชการมากและหมั่นลงมาเฝ้าเป็นนิจ
พอถึงรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2369 ก็เกิดปัญหาขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างกรุงเทพฯ กับเวียงจัน สาเหตุหนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุคือ พวกลาวและข่าตามหัวเมืองต่าง ๆ ในอีสานและลุ่มแม่น้ำโขงได้รับความเดือดร้อนจากเจ้าเมืองนครราชสีมาที่ทำหน้าที่ "ตีข่า" มาเป็นทาสแล้วเกณฑ์ส่วนและแรงงานส่งให้กรุงเทพฯ พวกลาวและข่าเหล่านี้จำต้องหันไปพึ่งพาเจ้าอนุวงศ์ ผลคือเจ้าอนุวงศ์ต้องเผชิญหน้ากับบรรดาเจ้าเมืองในอีสาน โดยเฉพาะเจ้าเมืองนครราชสีมา
เมื่อเจ้าอนุวงศ์ทำความตกลงกับญวนแล้วยกกองทัพมากวาดต้อนผู้คนถึงเมืองนครราชสีมาเท่ากับขัดนโยบายและท้าทายอำนาจของกรุงเทพฯ โดยตรง เพราะกรุงเทพฯ โดยตรง เพราะกรุงเทพฯ ต้องการเพิ่มรายได้ในรูปของส่วยเพื่อทดแทนรายรับที่สูญเสียไปอันเนื่องมาจากความเสื่อมของระบบผูกขาด ทั้งยังเป็นการประกันปริมาณสินค้าสำหรับการค้ากับจีนที่ส่งผลกำไรมหาศาลให้กรุงเทพฯ ด้วย รัชกาลที่ 3 จึงโปรดให้ยกทัพไปปราบเวียงจันแล้วจับเจ้าอนุวงศ์มาลงโทษจนตายที่กรุงเทพฯ
เรื่องเจ้าอนุวงศ์นี้ มหาสิลา วีระวงศ์ "นักปราชญ์ลาว" ได้เรียบเรียงหนังสือ "ประวัติศาสตร์ลาว" แล้วกล่าวถึงไว้ด้วย จะขอตัดตอนมาเสนอเพี่อเปรียบเทียบทัศนะกับ "ประวัติศาสตร์ไทย" ดังต่อไปนี้
ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นทางนครจัมปาสักคือ มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อสา อยู่แขวงเมืองสระบุรี เติมกัมมัฎฐานมาพักอยู่ภูเจ็ดโง้ง แขวงจัมปาสัก ภิกษุสาได้แสดงตนเป็นผู้วิเศษว่าสามารเรียกเอาไฟจากพระอาทิตย์มาให้เผาบ้านเผาเมืองได้ด้วยการทดลองให้คนเห็น โดยเอาแก้วส่องใส่ดวงอาทิตย์ แล้วเอาเชื้อไฟรองรับไดว้ที่เกิดไฟไหม้สมจริง คนทั้งหลายจึงเชื่อและนับถือพระภิกษุสา พระภิกษุสาจึงจัดตั้งเป็นกองทัพมาตีเอาบ้านเล็กเมืองน้อยได้หลายเมือง แล้วเลยยกทัพมาตีเอานครจัมปาสัก เจ้าหมาน้อยเจ้านครจัมปาสักไม่ทันรู้ตัวก็แตกหนีเข้าป่า ภิกษุสาก็เข้ายึดเอาเมืองจัมปาสักได้
เจ้าพระยานครราชสีมากับพระโพธิสารราชเจ้าเมืองโขงได้ยกทัพมาตีอ้ายสา ฝ่ายอ้ายสาเก็บรวบรวมเอาข้าวของได้แล้วก็แตกหนีไปอยู่ที่ภูเขาย่าปุ เมืองอัตตะปือ
พระเจ้าแผ่นดินสยามได้ทราบจากหนังสือบอกของพระยานครราชสีมา จึงแต่งให้พระยามหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพขึ้นมาตีอ้ายสา แต่จับอ้ายสาไม่ได้ จึงคุมเอาเจ้าหมาน้อยลงไปกรุงเทพฯ และเจ้าหมาน้อยก็เลยถึงแก่พิราลัยอยู่ในกรุงเทพฯ นั้นเอง ดังนั้นพระเจ้าแผ่นดินไทยจึงสั่งให้พระเจ้าอนุไปตามจับอ้ายสามาให้ได้
พระเจ้าอนุจึงให้เจ้าราชบุตรโย้ โอรสของพระองค์ยกทัพไปตีอ้ายสา และขับอ้ายสาได้ ส่งลงไปกรุงเทพฯ ด้วยความชอบอันนี้ พระเจ้าอนุจึงขอให้เจ้าราชบุตรได้เป็นเจ้านครจัมหาสักแทนเจ้าหมาน้อยตามแผนการของพระองค์ที่ได้กะไว้ในการจะกู้เอกราช เมื่อเจ้าราชบุตรได้เป็นเจ้านครจัมปาสักแล้วก็รีบจัดการเกณฑ์ไพร่พลขุดดินพูนกำแพงเมือง, สร้างหอโรง, ก่อกำแพงวัง และสร้างหอพระแก้วไว้เป็นที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย
พระเจ้าอนุวงศ์ เป็นนักรบผู้สามารถและเข้มแข็งผู้หนึ่ง ทั้งมีความรักชาติ รักอิสรภาพเป็นที่สุดพระองค์จึงพยายามคอยหาโอกาสที่จะปลดแอกจากความเป็นประเทศหัวเมืองขึ้นของไทยอยู่ตลอดมาในการที่พระองค์ทำการกู้อิสรภาพในคราวนั้น พระองค์คิดแต่เพียงจะกู้อิสรภาพฟื้นฟูประเทศให้กลับคืนเป็นเอกราชเท่านั้น มิได้คิดจะรบเอาประเทศไทยหรือรบรากับประเทศไทยเพื่อแก้แค้นแทนพระราชบิดา ดังนั้น พระองค์จึงสั่งให้เจ้าราชวงศ์ยกกองทัพลงไปกวาดต้อนเอาครัวคนลาวที่ไทยกวาดไปไว้เมืองสระบุรีคืนมาเวียงจัน ส่วนพระองค์ก็ลงไปกวาดเอาครอบครัวเมืองโคราช
ฝ่ายกรุงเทพน เมื่อได้ทราบว่าเจ้าอนุแข็งเมืองและยกพลลงไปกวาดเอาครอบครัวคนลาวคืนมาเวียงจัน จึงได้ยกกองทัพออกติดตามตีกองทัพพระเจ้าอนุและเจ้าราชวงศ์จนถึงเวียงจันท้ายที่สุดพระเจ้าอนุก็ถูกไทยจับได้ ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าน้อยเมืองพวนเชียงขวางและถูกส่งลงไปกรุงเทพฯ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วสิ้นพระชนม์ที่กรุงเทพฯ
กองทัพไทยตีได้นครเวียงจันครั้งที่ 2 ในรัชกาลของพระเจ้าอนุนี้ พระเจ้าแผ่นดินไทยองค์ที่ 3 (พระนั่งเกล้า) ได้สั่งให้ทำลายนครเวียงจันหมด โดยให้รื้อทำลายกำแพงเมือง ตัดต้นไม้ลงให้หมด ไม่ผิดกับการทำไร่แล้วเอาไฟเผา นครเวียงจันถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่าน พระพุทธรูปหลายร้อยหลายพันองค์ถูกไฟเผาจนละลายกองระเนระนาดอยู่ตามวัดต่าง ๆ วัดในนครเวียงจันเหลือเพียงวัดเดียวที่ไม่ถูกไฟไหม้คือวัดศรีสะเกา
การที่พระเจ้าแผ่นดินไทยสั่งให้ทำลายเวียงจันให้สิ้นซาก ก็เพื่อมิให้เวียงจันกลับคืนเป็นเมืองได้อีก แล้วให้ล้มเลิกอาณาจักรล้านช้างเวียงจันเสีย มิให้มีเมืองและเจ้าครองเมืองอีกต่อไป ราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
นครเวียงจันที่สวยงามอุดมสมบูรณ์จึงเป็นเมืองร้างตั้งแต่ปีนั้นมา ไดทยได้ไปตั้งกองรักษาการณ์หรือกองข้าหลวงผู้ปกครองนครอาณาเขตดินแดนเวียงจันอยู่ที่จังหวัดหนองคาย และภายหลังได้ย้ายไปตั้งอยู่จังหวัดอุดรธานี เมื่อฝรั่งเศสมาได้เวียงจันแล้ว
กรณีเจ้าอนุวงศ์นี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชสนุภาพทรงอธิยายว่า คุณหญิงโม้ (ภรรยาพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา) แสดงความกล้าหาญร่วมต่อต้านกองทัพเจ้าอนุวงศ์ให้สำเร็จ จึงได้ความดีความชอบเป็น ท้าวสุรนารี
ฝั่งทะเลตะวันออก เป็น "ชายขอบ"
บนเส้นทางคมนาคมทางทะเลของ "สลัด"
หลัง พ.ศ. 1800 บ้านเมืองบริเวณที่ลุ่มตอนภายในของดินแดนฝั่งตะวันออกเปลี่ยนไปเพราะสภาพภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงเป็นที่ห่างไกลฝั่งทะเล การคมนาคมไม่สะดวกเหมือนเดิม ความรุ่งเรืองที่เคยมีมาตั้งแต่ราว พ.ศ. 1000 ก็ร่วงโรยหมดความสำคัญลง ในที่สุดก็รกร้างว่างเปล่า ผู้คนทั้งหลายเคลื่อนย้ายไปตั้งหลักแหล่งใหม่อยู่ชายฝั่งมากขึ้น ถึงกระนั้นก็เป็นหลักแหล่ง "ชายขอบ" อยู่ห่างไกลจากราชธานีที่เกิดขึ้นใหม่ ผู้คนชายฝั่งเป็นนักผจญภัยทางทะเลที่เรียกกันภายหลังว่าสลัดเพราะอยู่บนเส้นทางคมนาคมทางทะเลมีเรือผ่านไปมา
ชายฝั่งทะเลตะวันออกยุคนี้ มีคนอยู่น้อย บางแห่งเป็นป่าดง วรรณคดีสำคัญยุคพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 - 2031) เรื่องกำสรวลสมุทร ไม่บรรยายถึงหมู่บ้านชายฝั่งไว้เลย พรรณาแต่ทิวเขา (สามมุก) กับเกาะ (สีชัง) ดังนี้
มุ่งเห็นอรรถ้ำท่ง |
ทิวเขา |
เขาโตกอำภิลจอม |
จากฟ้า |
สมุทรเงื่อนเงามุข |
เมียงม่าย |
ดูดุจมุขเจ้าถ้า |
สั่งศรี |
มุ่งเห็นลล่ายน้ำ |
ตาตก แม่ฮา |
เกาะสระชังชลธี |
โอบอุ้ม |
มลักเห็นไผ่เรียงรก |
เกาะไผ่ พู้นแม่ |
เขียวสระดื้อล้ำย้อม |
ยอดคราม |
ชาวประมงแกะปลิงทะเลติดอวน ที่เมืองจันทบุรี รูปวาดโดยคณะสำรวจของนายอังรี มูโอต์ (พ.ศ.2401-4) มีคำบรรยายครั้งนั้นว่า "ปลิงทะเลที่จับได้บางตัวยาวเกือบเมตร นำไปตากแห้งและรมควันเป็นอาหารจีนราคาแพง"
ร่องรอยแนวกำแพงเมืองจันทบุรี ที่พระเจ้าตากยกเข้าโจมตี ปัจจุบันอยู่ในค่ายทหารตากสิน จังหวัดจันทบุรี
ค่ายเนินวง อำเภอเมือง จังวัดจันทบุรี สร้างสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อให้เป็นจันทบุรีใหม่ ที่มีป้อมปราการแข็งแรง ป้องกันการรุกรานของพวกญวน ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อเมืองไทยสมัยนั้น
กำแพงเมืองฉะเชิงเทรา
การค้าทางทะเลตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 หรือหลัง พ.ศ. 1900 ลงมา จนถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้เกิดชุมชนหัวเมืองชายทะเลขึ้นหลายแห่ง ล้วนเป็นบ้านเล็กเมืองน้อย และส่วนมากไม่ถาวร มีการเคลื่อนย้ายไปมาตามความหมาะสมของกิจการเดินเรือ คงมีแต่เพียงเมืองจันทบุรีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่มีร่องรอยของเนินดิน กำแพงเมือง คูเมือง และโบราณสถานวัตถุแสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองที่ถาวรและสำคัญในขณะเดียวกันก็คงเป็นเมืองที่มีอำนาจพอสมควรในการปกครองบรรดาหัวเมืองชายทะเลเหล่านี้
ผู้คนที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออก ล้วนมีลักษณะหลากหลายทางชาติพันธุ์ เพราะมีการเคลื่อนย้าย โยกย้ายบ่อยครั้ง ทำให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมขึ้น ไม่อาจรวมกันเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นพวกเดียวกันในทางวัฒนธรรม ที่จะมีผลให้เกิดบูรณาการทางการเมืองขึ้นได้ เพราะศูนย์กลางอำนาจที่สำคัญ เช่น กรุงศรีอยุธยา ไม่เห็นความจำเป็น สภาพและฐานะของเมืองชายทะเลเหล่านี้จึงอยู่ในลักษณะที่เป็นบริเวณ "ชายขอบ" ตลอดมา
จนกระทั่งเสียกรุงแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 จึงเกิดมีความสำคัญขึ้น อันเนื่องมาจากพระเจ้าตากทรงพาไพร่พลหนีจากอยุธยา มาสร้างกำลังทางหัวเมืองตะวันออก เพื่อกลับไปกู้กรุงศรีอยุธยา
ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเดินทางผ่านมาที่นครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จนถึงการตีเมืองจันทบุรี และตั้งมั่นรวบรวมไพร่พลอยู่เมืองจันทบุรี ล้วนแสดงให้เห็นสภาพที่เป็นชายขอบของบ้านเมืองในภูมิภาคตะวันออกอย่างชัดเจน ทั้งในเขตที่ลุ่มดอนภายใน กับเขตชายทะเล
เขตที่ลุ่มดอนภายใน ชุมชนที่ตั้งอยู่ในแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็นนครนายกและปราจีนบุรี ล้วนมีสภาพเป็น ด่าน หรือ เมืองด่าน ที่ผู้คนมีลักษณะเป็นพวกสะสมและหลาย ๆ แห่งทีเดียวที่เป็นซ่องของพวกโจรผู้ร้ายหนีอาญาบ้านเมือง ไม่เป็นชุมชนใหญ่ เป็นได้แค่ชุมชนเล็ก ๆ กระจายไปตามที่ต่าง ๆ
เขตชายฝั่งทะเล ก็เป็นแหล่งของพวกสะสมเช่นเดียวกัน เพราะบรรดาขุนนาง เจ้าเมือง หรือกรมการเมือง เช่น เจ้าเมืองจันทบุรี เมืองระยอง ชลบุรี มีลักษณะเป็น ชาวต่างชาติ หรือไม่ก็พวกโจรหรือนักเลง ที่มีอำนาจ และทางกรุงศรีอยุธยาให้ยศตำแหน่ง เพื่อความสะดวกสบายในการปกครอง คนเหล่านี้มีทั้งอำนาจและผลประโยชน์ จึงเป็นเหตุให้พระเจ้าตากต้องทรงใช้กำลังในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด เช่น การตีเมืองจันทบุรี ซึ่งมีเจ้าเมืองที่แท้จริงคือ พ่อค้าที่มีอำนาจ กับการปราบปรามนายทองอยู่ นกเล็กที่ชลบุรี ที่แท้จริงคือพวกสลัด
จนถึงรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์แล้ว เขตชายฝั่งทะเลตะวันออกยังเป็น "ชายขอบ" ที่ต้องใช้นโยบายเกลี้ยกล่อมกลุ่ม "สลัด" ให้สวามิภักดิ์อีกนาน มีกรณีตัวอย่างบิดาสุนทรภู่ออกบวชอย่างเป็น"ราชการ"แล้วไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่บ้านกร่ำ เมืองแกลง (จังหวัดระยอง) เพื่อควบคุมและเกลี้ยกล่อมข้าคนสลัดชายขอบเหล่านั้นให้อยู่ในอำนาจของกรุงเทพฯ และทางกรุงเทพฯ ต้องตรวจสอบระมัดระวังสม่ำเสมอ ดังสุนทรภู่เขียนนิราศเมืองแกลงว่า "เจ้านายท่านไม่ใช่แล้วไม่มา" หมายถึงสุนทรภู่ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการข่าวของ "เจ้านาย" จากกรุงเทพฯ กับฝั่งทะเลตะวันออกเพื่อความสงบราบคาบ
"เมืองป้อม" ชายฝั่งทะเลตะวันออก
นับแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ลงมาจนถึงรัชกาลที่ 3 ได้เกิดการสร้าง เมืองป้อม ขึ้นหลายแห่ง เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก
เมืองสมุทรปราการ เมืองพระประแดง ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา และเมืองฉะเชิงเทรา ที่ริมแม่น้ำบางปะกง คือตัวอย่างของเมืองป้อมที่ดี แม้ว่าที่ชลบุรี ระยอง และตราด จะไม่มีการสร้างป้อมและสร้างเมือง แต่ที่เมืองจันทบุรีก็ดูเหมือนจะได้รับการเสริมสร้างให้เป็นเมืองสำคัญที่เป็นฐานทัพ เป็นแหล่งที่ต่อเรือเพื่อใช้ทั้งการสงครามและการค้าขาย สมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้สร้าง เมืองป้อมขึ้นที่ตำบลเขาเนินวงเพื่อเตรียมรับศึกพวกญวน
การส่งกองทัพบกไปตีเขมร ต้องผ่านบริเวณที่ดอนลุ่มทางภาคตะวันออก ผ่านอรัญประเทศ ไปยังเสียมราฐและพระตะบอง ทางกรุงเทพฯ ได้ขุดคลองไปยังนครนายก เพื่อการขนส่งกำลัง ต่อจากนั้นก็เดินทัดผ่านปราจีนฯ ไปยังอรัญประเทศเพื่อเข้าแดนเขมร
ในสมัยรัชกาลที่ 3 การปราบปรามลาวและเขมร ทำให้มีการกวาดต้อนผู้คนที่เป็นพวกลาวมาไว้ที่ปราจีนบุรีและฉะเชิงเที่เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้เกิดชุมชนใหม่ ๆ นับแต่หมู่บ้านไปจนถึงเมืองด้วยอีกมากมายหลายแห่ง บรรดาเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นปัจจุบันก็กลายเป้นอำเภอไปหลายแห่ง เช่น เมืองกบินทร์บุรี เมืองพนัสนิคม เมืองพนมสารคาม เป็นต้น
ส่วนบริเวณชายฝั่งทะเลนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากสงครามเช่นเดียวกัน เพราะการรบกับเขมรและญวนนั้น ต้องอาศัยกองทัพเรือด้วย
|